5 yrs - แปลภาษา

ให้งานพูดแทนเรา
Cr. ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
.
1
ย้อนเป็นเมื่อตอนที่ผมเป็นนักศึกษาอยู่ที่คณะวารสารศาสตร์ฯ ม.ธรรมศาสตร์ ด้วยความชอบเขียนตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ผมเคยสมัครเข้าค่ายนักเขียนอยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ว่าค่ายนั้นมีรุ่นพี่นักเขียนมืออาชีพหลายท่านมาเป็นโค้ช การจะเข้าค่ายนี้ได้ผู้สมัครต้องส่งผลงานการเขียนเข้าไปในโค้ชพิจารณา
.
ผมไม่รีรอที่จะส่งผลงานของตัวเองไปครับ และได้รับเลือกกับเขาด้วย
.
ตอนที่เข้าค่าย มีกิจกรรมหนึ่งที่เหล่าโค้ชนักเขียนรุ่นพี่แต่ละคนจะมาอ่านผลงานการเขียนที่เราส่งมา และคอมเมนต์แบบตรงๆ ให้เราได้รู้ว่ามีอะไรที่ทำดีแล้ว และอะไรบ้างที่เราควรปรับปรุง
.
ผมจำได้ว่าตอนที่โค้ชนักเขียนรุ่นพี่มานั่งอ่านบทความของผมนั้น ผมได้รับคำชื่นชมอย่างดี เรียกว่าเหมือนเวียนไปรับคำชม ตัวพอง หน้าบาน มงซ้อนมงอยู่บนหัวกันเลยล่ะครับ
.
จนกระทั่งเวียนมาถึงโต๊ะของนักเขียนรุ่นพี่ท่านหนึ่งที่ผมไม่มีวันลืม
.
รุ่นพี่คนนั้นคือพี่อธิคม คุณาวุฒิ บรรณาธิการนิตยสาร a day weekly ในตอนนั้น (ปัจจุบันเป็นบรรณาธิการบริหารนิตยสาร WAY)
.
a day weekly เป็นนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ที่เข้มข้นมาก และทุกสัปดาห์ผมจะไปที่แผงหนังสือเพื่อรอซื้อมาอ่านทุกหน้าอย่างตั้งใจ
.
และหนึ่งในเหตุผลที่ผมสมัครเข้าค่ายนักเขียนนั้นก็เพราะอยากเรียนรู้การเป็นนักเขียนจากพี่อธิคมด้วยนี่แหละครับ
.
และตอนนี้ผมตื่นเต้นมากที่พี่อธิคมกำลังอ่านบทความของผมอยู่
.
“มีบางอย่างที่...ทำให้พี่รู้สึกไม่ชอบบทความของน้องอยู่” พี่อธิคมเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
.
ส่วนใจของผมตกไปที่ตาตุ่ม!
.
“พี่คิดว่าการที่น้องเขียนว่า น้องต้องเหนื่อยยากแค่ไหน อดหลับอดนอนแค่ไหน เพื่อเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา ไม่ใช่สิ่งที่คนอ่านจำเป็นต้องรู้ เพราะไม่ได้มีประโยชน์กับคนอ่าน
.
แต่การทำงานออกมาให้มีคุณภาพที่ดีเองต่างหากที่จะบ่งบอกเองว่าน้องได้พยายามแค่ไหน ลำบากแค่ไหน ทุ่มเทแค่ไหน เพื่อคนอ่านของน้อง โดยที่น้องไม่จำเป็นต้องบอก
.
ต่อให้ลำบากยากเย็นแทบกลืนเลือดกว่าจะกลั่นออกมาเป็นบทความ ก็ไม่จำเป็นต้องบอก คนอ่านรู้แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
.
ถ้างานมันดีมีคุณภาพ คนอ่านจะรู้เองว่าน้องทุ่มเทแค่ไหนโดยไม่จำเป็นต้องบอก” พี่อธิคมบอก
.
ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วแต่ผมก็ยังจำได้
.
ให้คุณภาพของงานบอกเองว่าเราเป็นคนแบบไหน
.
น่าจะเสียงดังฟังชัดกว่าที่เราพูดเอง
.
นั่นเป็นบทเรียนแรกๆ ที่ผมเคยได้รับในชีวิตการเป็นนักเขียน
.
.
2
ในรายการ The Face Men Thailand Season 2 มีประโยคหนึ่งของพี่หมู พลพัฒน์ อัศวประภา ที่ผมชอบมาก
.
ในตอนนั้น ลูกทีมสงสัยว่าทำไมพี่หมูถึงไม่เข้าไปปกป้องลูกทีมที่ต้องเข้าห้องดำ ในขณะที่เมนเทอร์อีกคนเข้าไปช่วยแก้ต่างให้ลูกทีม
.
ทำไมพี่หมูถึงปล่อยให้ลูกทีมสู้โดยลำพัง
.
พี่หมูบอกกับลูกทีมว่า
.
“นี่คือชีวิตจริงในการทำงาน พี่ไม่สามารถตามไปปกป้องพวกคุณในทุกเรื่องได้ พวกคุณต้องไฟท์ด้วยตัวเอง
.
และงานของคุณคือสิ่งที่จะปกป้องตัวคุณได้”
.
เราต้องรู้จักแก้ปัญหาให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่หวังว่าคนอื่นจะปกป้องเราได้ตลอดเวลา
.
ทำงานให้ดีที่สุดแล้วคุณภาพของงานจะปกป้องตัวเราเอง
.
เกราะป้องกันอันตรายให้เราได้ดีที่สุดไม่ใช่ปีกของหัวหน้า แต่คือคุณภาพงานที่เราทำออกมาให้ดี
.
ทำงานออกมาดี เราก็มีเกราะที่แข็งแรง เอาไปสู้กับอันตรายใดๆ ที่เข้ามาได้
.
แต่ถ้าไม่ดูแลคุณภาพของงาน เกราะที่เรามีก็จะบอบบางจนปกป้องเราไม่ได้
.
นั่นคือสิ่งที่เราเรียนรู้ได้จากคำสอนของพี่หมูครับ
.
.
3
ตอนที่เป็นหนูน้อยทำงานที่พีอาร์เอเจนซี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมรู้สึกเฟลมากจากการทำงาน เพราะโดนลูกค้าคอมเมนต์งานเสียยับเลย
แต่ในวันที่รู้สึกว่าตัวเองเฟลมากนั้น หัวหน้าของผมสอนบางอย่างกับผมที่ผมเอาไว้บอกตัวเองได้ตลอดจนถึงทุกวันนี้
.
เขาถามผมว่า งานที่ผมทำไปนั้นทำด้วยเจตนาที่ดีแล้วหรือเปล่า
.
ถ้าเราทำงานด้วยเจตนาที่ดี เราก็ควรภูมิใจที่เรามีเจตนาที่ดี ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ
.
ถ้าจะมีอะไรที่ควรเสียใจ ก็ควรเสียใจเมื่อเราทำงานด้วยเจตนาที่ไม่ดี ทำไปด้วยความรู้สึกสักแต่ว่าทำไปให้เสร็จ ทำไปด้วยความรู้สึกเกลียดลูกค้า ทำไปด้วยความรู้สึกว่าสาปส่งอยากให้ลูกค้าบรรลัย
.
เมื่อไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีแบบนั้น ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ ควรภูมิใจในตัวเองที่เจตนาดี คิดดี อยากทำงานที่ดีออกไป
.
เขาตำหนิที่ผลลัพธ์ของงาน แต่ไม่ได้ตำหนิว่าที่เจตนา เพราะฉะนั้น เราต้องแยกให้ออก อย่าเอาทุกอย่างมาปนกัน เจ็บให้ถูกจุด มองปัญหาให้ขาด
.
บทเรียนหนึ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือ การมีเจตนาที่ดีเป็นคนละเรื่องกับผลลัพธ์ของการทำงาน
.
การมีเจตนาที่ดีไม่ได้แปลว่าผลลัพธ์ของการทำงานจะออกมาดีเสมอไป
.
แต่เพราะมีเจตนาที่ดีมิใช่หรือ ที่ทำให้เราควร “ปล่อยวาง” และ “เรียนรู้” ได้ว่างานทุกงานมีจุดที่สามารถพัฒนาได้อยู่เสมอ
.
ต่อให้เป็นงานที่เราคิดว่าดีที่สุดแล้ว ก็ยังมีจุดให้พัฒนาได้
.
ต่อให้เป็นงานที่ยังมีจุดบกพร่อง ก็ยังมีจุดให้พัฒนาได้
.
“เมื่อมีเจตนาดีเป็นจุดตั้งต้นแล้ว และก็อยากทำงานออกมาให้ดี การที่มีคนบอกว่าอยากให้เราทำงานให้ดีขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่เราต้องเสียใจ เพราะสุดท้าย สิ่งที่เขาอยากให้เกิดขึ้นก็คืองานที่ดีเหมือนกันกับที่เราอยากให้เกิด ถูกไหม?”
.
มีเจตนาที่ดีแล้วว่าอยากทำงานออกมาให้ดี ถ้ามีคนบอกว่าเราควรปรับปรุงเพื่อให้งานออกมาดี มันก็ควรเป็นสิ่งที่เรารับได้ และไม่กอดอีโก้ยึดมั่นถือมั่นว่าจะแก้ไขงานไม่ได้ หรือคิดว่าเขาโจมตีเรา แต่มองให้ออกว่า ที่จริงแล้วคนที่ไม่เห็นด้วยกับงานของเราก็อาจจะมีเจตนาเดียวกับเราว่าอยากให้งานออกมาดีมีคุณภาพ
.
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว หน้าที่ของเราก็คือกลับไปแก้ไขงานให้ดีขึ้น...แบบที่เรามีเจตนาดีตั้งแต่ต้น
.
และควรจะรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดไป
.
ผมกลับไปแก้ไขงานนั้นอีกครั้งด้วยมุมมองใหม่บนเจตนาที่ดีเหมือนเดิม
.
สุดท้ายผมก็พบว่า “เออ...จริงว่ะ ทำให้ดีขึ้นมันก็ดีขึ้นได้นี่หว่า แต่ถ้าตอนนั้นไม่แก้ไข มันก็อาจจะไม่ดีขึ้นแบบนี้”
.
เช่นเดียวกัน ถ้าไม่เปิดใจในตอนนั้นก็คงไม่ได้เรียนรู้
.
เจตนาที่ดีอาจจะไม่ใช่สิ่งการันตีว่าผลลัพธ์จะออกมาดีเสมอไป
.
แต่เจตนาที่ดีจะทำให้เรารู้ว่า งานทุกงานมีจุดที่พัฒนาได้เสมอ เช่นเดียวกันกับเราที่สามารถพัฒนาตัวเองได้ไม่มีที่สิ้นสุด
.
และถ้ารู้ว่าพัฒนาแล้ว แก้ไขแล้ว สุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาดีขึ้นสมกับเจตนาที่ดีของเรา ทำไมเราจะไม่อยากแก้ไข ในเมื่อสุดท้ายมันพาเราไปสู่งานที่ดีอย่างที่เรามีเป้าหมาย
.
และเมื่อนั้นงานจะบอกเองว่าเราเป็นคนอย่างไร
.
.
Photo : Francesco Bongiorni